เงินดอลลาร์แข็งค่าสูงต่อเนื่องในปี 2022 จนกดดันเงินบาทไทยและสกุลเงินอื่น ๆ แม้ว่าในช่วงสิ้นปีเงินดอลลาร์จะปรับตัวลงเล็กน้อย แต่นักลงทุนในตลาดก็ยังคงจับตามองการเคลื่อนไหวของเงินดอลลาร์ต่อไป ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อเงินดอลลาร์ 2023 จะมีอะไรบ้าง และสถานการณ์เงินดอลลาร์จะดำเนินไปในทางใด ไปติดตามกันครับ
ในปี 2022 เงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราสามารถสังเกตได้จาก Dollar Index (DXY) หรือดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่ใช้วัดความแข็งค่าของเงินดอลลาร์เทียบกับตะกร้าเงินตราต่างประเทศทั้ง 6 สกุล ประกอบด้วยเงินเยนญี่ปุ่น ปอนด์อังกฤษ ดอลลาร์แคนาดา โครนาสวีเดน ฟรังก์สวิส และยูโร
โดยดัชนี DXY จะปรับตัวขึ้นเมื่อเงินดอลลาร์แข็งค่า และในช่วงต้นปี 2022 ที่ผ่านมา ดัชนี DXY ได้ปรับขึ้นจาก 95.14 จุด มาอยู่ที่ 114.78 จุด ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ทศวรรษ นั่นหมายความว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ ซึ่งกดดันให้สกุลเงินต่าง ๆ อ่อนค่าลง หนึ่งในนั้นรวมถึงเงินบาทไทยที่ทำสถิติอ่อนค่าหนักสุดในรอบ 16 ปี ส่วนเงินเยนของญี่ปุ่นอ่อนค่าหนักแตะระดับต่ำสุดครั้งใหม่ในรอบ 24 ปี
สาเหตุที่ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อปี 2022 คืออะไร? – ปรากฏการณ์นี้เกิดจากอัตราเงินเฟ้อของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงสุดถึง 9.1% ในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1981 หรือในรอบ 40 ปี โดยระดับเงินเฟ้อครั้งนี้มาจากการอัดฉีดเงิน (QE) และการกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำเป็นประวัติการณ์ที่ 0.25% ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจหลังจากการแพร่ระบาดโรคโควิด-19
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Fed จะประสบความสำเร็จในการกู้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับมา แต่การฟื้นตัวที่ร้อนแรงก็ตามมาด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้ Fed ต้องเร่งนำเงินออกจากระบบ (QT) และปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนแตะ 4.50% ในเดือนธันวาคม ขณะที่เศรษฐกิจของหลาย ๆ ประเทศยังไม่สามารถฟื้นตัวได้ เงินทุนจึงไหลไปยังฝั่งสหรัฐฯ จนทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 ก่อนจะปรับตัวลงมาเล็กน้อยในช่วงสิ้นปีจากอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หลัก ๆ มีด้วยกัน 4 ปัจจัย ดังนี้
อุปสงค์และอุปทานถือเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์ เมื่อมีคนต้องการ เงินดอลลาร์ก็จะยิ่งมีค่าสูงขึ้น แน่นอนว่าดอลลาร์ถือเป็นสกุลเงินที่มีความต้องการสูงกว่าสกุลเงินอื่น ๆ ด้วยปัจจัยทางเศรษฐกิจและปัจจัยอื่น ๆ เพราะการนำเข้าและส่งออกสินค้าหรือบริการมักจะใช้ดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักในการแลกเปลี่ยน ดังนั้น ผู้คนจึงมีความต้องการดอลลาร์อยู่เสมอ
อีกทั้ง ดอลลาร์ยังเป็นสกุลเงินสำรองของโลก ดังนั้น รัฐบาลสหรัฐฯ จึงสามารถขายตั๋วเงินคลังได้มากขึ้น และสามารถเพิ่มอุปทานได้โดยไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ส่วนภาคเอกชนเองก็ออกพันธบัตรเพื่อระดมทุนเช่นกัน
อีกปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินของประเทศนั้น ๆ คือ ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น หรือถูกใช้เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ดังนั้น แม้สหรัฐฯ จะต้องเผชิญกับความเป็นไปได้ในการเทขายพันธบัตรหรือหุ้นในช่วงเศรษฐกิจอ่อนแอ แต่ดอลลาร์ก็ยังคงมีความต้องการที่สูง เพราะนักลงทุนมองว่า ดอลลาร์เป็นแหล่งหลบภัยในช่วงดังกล่าว
มูลค่าของสกุลเงินแต่ละสกุลมักจะได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยในประเทศของตน แต่สำหรับดอลลาร์นั้นได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายให้กับกระทรวงการคลังสหรัฐฯ โดยปกติยิ่งอัตราดอกเบี้ยจ่ายต่ำเท่าใด ความต้องการก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น เงินดอลลาร์จึงกลายเป็นที่หลบภัยในโลกที่ไม่แน่นอน
ปัจจัยนี้ทำให้กระทรวงการคลังของสหรัฐฯ สามารถจ่ายอัตราดอกเบี้ยต่ำและยังคงได้รับราคาเสนอซื้อที่สูง ซึ่งหมายความว่า สหรัฐฯ สามารถก่อหนี้ได้มากขึ้น ขณะที่ประเทศอื่นต้องจ่ายผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อต่ออายุหนี้
อัตราหนี้สินต่อ GDP คือ การเปรียบเทียบหนี้สาธารณะทั้งหมดของประเทศกับผลผลิตทางเศรษฐกิจ ซึ่งอัตราส่วนนี้ใช้บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ว่าแข็งแกร่งและมีโอกาสชำระหนี้ได้เพียงใด อีกทั้ง ยังใช้เพื่อพิจารณาว่า ประเทศนั้น ๆ กำลังเผชิญกับความวุ่นวายทางเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งอัตราหนี้สินต่อ GDP เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าเงิน ยิ่งมีหนี้สินมากเท่าไหร่ ค่าของเงินดอลลาร์ก็ยิ่งลดลงเร็วขึ้นเท่านั้น