Chart Pattern อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ

  Posted on 4 years ago (Feb 17, 2020)
4968
List of content
Chart Pattern อธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ

Chart Pattern

ตอนนี้ เปลี่ยนแนวมาดูหลักวิชาการบ้าง ชะลอการนำเสนออินดี้และระบบไว้ก่อน  ตอนนี้มาดูเรื่องรูปแบบของ  chart  กันครับ ตามชื่อเรื่องเลย  Chart Pattern  ในตอนนี้ขอนำเสนอคร่าว ๆ 9 รูปแบบครับ

1. Descending Channal

รูปแบบของกราฟ  Descending channal  นั้น จะเป็นรูปแบบตรงกันข้าม กับ  Ascending Channal  ซึ่งจัดเป็นเทรนรูปแบบของขาลงต่อเนื่อง มักจะเป็นการพักตัว Flag  ในกรอบของเทรนใหญ่ ซึ่งหากจะตีเทรนไลน์ก็ต้องตีในระดับ TimeFrame  ใหญ่  ๆ โดยรูปแบบ ของ  pattern นี้ มักจะมีการลดระดับ Higher และ  higher Low  แต่ยังอยู่ในกรอบของรูปแบบ ของเทรนหลัก เมื่อมีแรงและพลังสะสมมากพอ จะพุ่งหลุดทะลุกรอบราคาลงไป

 

2. Ascending Channal

รูปแบบของกราฟ Ascending Channal ซึ่งจัดเป็นรูปแบบตรงกันข้าม Descending channel  ซึ่งเป็นรูปแบบของเทรนขาขึ้น  ที่กำลังจะเป็นเทรนขาขึ้น มักจะเป็นการพักตัว Flag  ในกรอบของเทรนใหญ่ ซึ่งหากจะตีเทรนไลน์ก็ต้องตีในระดับ TimeFrame  ใหญ่  ๆ โดยรูปแบบ ของ  pattern นี้ มักจะมีการลดระดับ Higher และ  higher Low  แต่ยังอยู่ในกรอบของรูปแบบ ของเทรนหลัก เมื่อมีแรงและพลังสะสมมากพอ จะพุ่งทะลุเลยกรอบราคาขึ้นไป

 

3. Bear Flag

ซึ่งกราฟรูปแบบนี้   Bear Flag  หรือ  Bearlist Flag แนว ๆ นี้ มักจะเกิดขึ้นในเทรนขาลงเท่านั้น เป็นรูปแบบของการไหลลงอย่างต่อเนื่อง เพื่อที่จะลงต่อ ซึ่งกราฟในลักษณะนี้มักจะไหลลง ภายใน 2 – 3 วัน ซึ่งรูปแบบนี้มักจะดูเทรนง่าย

 

4. Bull Flag

 

กราฟ แนวนี้เป็นแนวขาขึ้น  Bull Flag และเป็นขาขึ้นเท่านั้น เป็นรูปแบบของขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจะมีการพักตัว เพียงช่วงระยะเวลาไม่นานนัก และก็จะพุ่งทะลุไปค่อนข้างยาว ซึ่งการเทรดรูปแบบนี้ก็ค่อนข้าง ง่ายครับ

 

5. Rising Wedge

 

รูปแบบของ Chart Pattern  แนวนี้  จัดเป็นกราฟรูปแบบขาขึ้น ซึ่งเป็นขาขึ้นที่กำลังจะเปลี่ยนเทรนเป็นขาลง โดย pattern  แบบนี้  จะมีการบีบอัดตัวของแท่งเทียนไปเรื่อยๆ  ทำให้เกิดรูปแบบ สูงสุด ต่ำสุด สูงขึ้นเรื่อย ๆ และระยะห่างของราคานั้นแทบจะไม่ห่าง แตกต่างกันมาก  มองไป มีลักษณะคล้าย ลิ่ม

องค์ประกอบที่จะเกิด Pattern  แบบนี้ประกอบด้วย

- เป็นกราฟเทรนขาขึ้นมาก่อนหน้า

- มีการเกิด จุดสูงสุด ต่ำสุด สูงขึ้นเรื่อย ๆ อาจเกิดขึ้นมากกว่า 2-3 ครั้ง

- จุดต่ำสุดและสูงสุด มีระยะห่างกันไม่มาก

- มักจะเกิดบริเวณแนวต้านที่สำคัญ

 

6. Falling Wedge

เป็นรูปแบบของ  Pattern ที่ตรงกันข้าม กับ Rising Wedge โดยรูปแบบจะเป็นเทรนขาลงที่กำลังจะเปลี่ยนเป็นขาขึ้น จะมีการบีบอัดตัวของแท่งเทียนไปเรื่อยๆ  ทำให้เกิดรูปแบบ สูงสุด ต่ำสุด ต่ำลงเรื่อย ๆ และระยะห่างของราคานั้นแทบจะไม่ห่าง แตกต่างกันมาก

องค์ประกอบที่จะเกิด Pattern  แบบนี้ ประกอบด้วย

- เป็นกราฟเทรนขาลงมาก่อนหน้า

- มีการเกิด จุดสูงสุด ต่ำสุด ต่ำลงเรื่อย ๆ อาจเกิดขึ้นมากกว่า 2-3 ครั้ง

- จุดต่ำสุดและสูงสุด มีระยะห่างกันไม่มาก

- มักจะเกิดบริเวณแนวรับที่สำคัญ

 

7. Triple Bottom

กราฟ  Pattern แนวนี้ จะเกิดจาก เทรนขาลงมาก่อน แล้วไปเจอกันแนวรับที่สำคัญ ไม่สามารถที่จะผ่านแนวรับตรงนี้ไปได้ แล้วก็ เกิดเป็น  Double Bottom  ก่อน  วนกลับมาจะทะลุแนวรับ อีกแต่ก็ไม่สามารถผ่านไปได้  สุดท้ายไม่สามารถผ่านไปได้ จนครบ สามครั้ง และเด้งกลับเปลี่ยนเทรนในที่สุด  ในการเทรดกับ  Pattern แบบนี้  เทรดเดอร์ต้องวิเคราะห์เทรนให้แม่น ว่าเป็นเทรนขาลงอย่างแท้จริง อีกทั้งการมองแนวรับต้องแม่น  เพราะถ้า วิเคราะห์ผิดแล้ว โดนลาก อานแน่นอน

 

8. Tripple Top

กราฟ  Pattern นี้ จะเป็นรูปแบบตรงข้ามกับ Tripple Bottom ซึ่งเทรนของกราฟจะเป็นขาขึ้นมาก่อน แล้วไปเจอกันแนวต้านที่สำคัญ ไม่สามารถที่จะผ่านแนวต้านตรงนี้ไปได้ แล้วก็ เกิดเป็น  Double Top  ก่อน  วนกลับมาจะทะลุแนวต้าน อีกแต่ก็ไม่สามารถผ่านไปได้  สุดท้ายไม่สามารถผ่านไปได้ จนครบ สามครั้ง และเด้งกลับเปลี่ยนเทรนในที่สุด  ในการเทรดกับ  Pattern แบบนี้  เทรดเดอร์ต้องวิเคราะห์เทรนให้แม่น ว่าเป็นเทรนขาขึ้นอย่างแท้จริง อีกทั้งการมองแนวต้านต้องแม่น  เพราะถ้าวิเคราะห์ผิดแล้ว ลบเละแน่นอน

 

9. Head and Shoulders

รูป แบบ Head and shoulders เป็นรูปแบบหนึ่งของรูปแบบการกลับตัวที่น่าเชื่อถือที่สุด และ เทรดเดอร์   หลาย ๆ คนใช้ มันเป็นรูปแบบการกลับตัวที่เกิดขึ้นเมื่อเทรนด์ขาขึ้นนั้นหมดแรงและ เตรียมที่จะเกิดการกลับตัว รูปแบบนี้จะเกี่ยวกับ ราคา สูงสุด 3 จุด ซึ่งจุดสูงที่สุดอยู่ตรงกลาง และไม่สามารถที่จะทาจุดสูงสุดครั้งใหม่ในครั้งที่สามได้ (right shoulder)ที่ จะให้ราคาสูงกว่าครั้งที่สอง (head) สัญญาณนี้บอกถึงการอ่อนตัวของเทรนด์ขาขึ้น รูปแบบี้จะสมบูรณ์ เมื่อราคาปิด ปิดต่ำกว่าเส้นเทรนด์ไลน์ ( neckline)

ซึ่งเชื่อมระหว่างจุดต่ำสุดของราคาหลักจาก ที่เกิดราคาสูงสุดครั้งแรก (left shoulder) และจุดสูงสุดครั้งที่สอง (head) คุณสามารถคานวณราคาขั้นต่ำที่มันจะตกลงไปได้ซึ่ง จะทำได้เมื่อรูปแบบการกลับตัวเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบแล้วการจะคานวณต้องหา ระยะห่างระว่าง หัวและ เส้น neckline หักด้วย ค่าจากระดับที่ Neckline นั้นทะลุไปซึ่ง เราต้องปรับราคาขั้นต่ำตามการวิเคราะห์ ทางเทคนิคโดยใช้ fibonacci retracements จากการเคลื่อนไหวของขาขึ้นก่อนหน้า เพื่อให้ได้จุดออกที่ แม่นมากที่จุดราคาสูงสุดที่เป็นราคาเป้าหมาย (maximum price objective) คือจุดที่เทรนด์ก่อนหน้าก่อตัวครั้งแรกราคาของอัตราแลกเปลี่ยน บางครั้งจะกลับมาที่จุด neckline หลักจากที่มันเกิดbreakout ไปแล้ว ซึ่งทาให้มีอัตรากส่วน Risk: Reward ที่สูงขึ้น ถ้าคุณเทรดแบบนี้ คุณสามารถตั้งจุดทำกำไรที่จุด ราคา ขั้นต่ำที่จะไปได้ และ ตั้ง Stop loss ที่เหนือเส้น Neck lineเพียง นิดหน่อย  รูปแบบ head and shoulders ที่เกิด ณ ราคาต่ำสุดของตลาด เรียกว่า inverse head and shoulders ซึ่งจุดกับตัวนี้จะตรงกันข้ามของการเกิดจุดกลับตัวที่ราคาสูงสุดคุณสามารถใช้กระบวนการเดียวกันในการคำนวณ ราคาเป้าหมายขั้นต่ำที่จะเกิดขึ้นซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่รูปแบบเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว

 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

สามารถศึกษาความรู้เพิ่มเติมดังนี้

คอร์สเรียนสำหรับมือใหม่ ฟรี!! : คลิกที่นี่

คลังบทความความรู้เพิ่มเติม : คลิกที่นี่

บทความรีวิวโบกเกอร์เพิ่มเติม : คลิกที่นี่

บทวิเคราะห์รายวัน : คลิกที่นี่  

 


บทความ แนะนำ
คอร์สเรียน Forex ยอดนิยม